ปริมาณพลังงานที่สุนัขควรได้รับ

ปริมาณพลังงานที่สุนัขควรได้รับ การคำนวณปริมาณอาหาร ที่ปกติแล้วเป็นปริมาณที่คู่ควรแก่การได้รับของน้องหมาในแต่ละตัว ซึ่งปกติแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ของสุนัขแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน อาทิ รูปแบบการใช้ชีวิต ระดับกิจกรรม อายุ เป็นต้น ความแตกต่างของปัจจัยเหล่านี้ที่ให้ระบบเผาผลาญพลังงานของพวกเค้ามีความหลากหลายไม่เหมือนกันซึ่งสามารถรบกวนการคำนวณค่าพลังงานให้มีความต่างกันถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ค่าปริมาณพลังงานที่ได้จากการคำนวณจึงเป็นค่าประมาณ เวลาให้อาหารจึงต้องดูหลายองค์ประกอบควบคู่ไปด้วย ทั้ง ปริมาณพลังงาน น้ำหนักของสุนัข ความสมบูรณ์ของร่างกาย

ขั้นตอนพื้นฐานที่สัตวแพทย์ใช้ในการคำนวณพลังงานที่สุนัข ในระดับความคงที่ และความต้องการที่มีประโยชน์มากที่สุด หรือความต้องการพลังงานเพื่อการดำรงชีวิต มีดังนี้

  • เอาน้ำหนักของสุนัข หน่อยปอนด์ หารด้วย 2 เพื่อเปลี่ยนเป็นหน่วยกิโลกรัม
  • ใช้สูตรคำนวณหาค่าความต้องการพลังงานในขณะพัก หรือ Resting Energy Requirement (RER) = 70 (น้ำหนักตัวหน่วยกิโลกรัม)^0.75
  • เมื่อได้ค่า RER แล้วให้เอามาเข้าสูตรคำนวณหาค่าความต้องการพลังงานเพื่อการดำรงชีวิต หรือ Maintenance Energy Requirement (MER) = ค่าตัวแปร x RER

ซึ่งค่าตัวแปรที่ใช้คูณส่วนใหญ่จะมีดังนี้

  • สัตว์ที่ทำหมันแล้ว 6
  • สัตว์ที่ยังไม่ได้ทำหมัน 8
  • ต้องการให้ลดน้ำหนัก 1
  • ต้องการให้เพิ่มน้ำหนัก 7
  • ไม่ค่อยชอบทำกิจกรรม หรือกิจกรรมน้อย 2
  • ทำกิจกรรมในระดับปานกลาง 3
  • ทำกิจกรรมมาก 6
  • อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่า 4 เดือน 3
  • อยู่ในช่วงอายุมากกว่า 4 เดือน 2

ตัวอย่างการคำนวณ ในสุนัขที่ทำหมันแล้ว น้ำหนัก 45 ปอนด์ (สมมติว่าเป็นน้ำหนักที่เหมาะสมของสุนัขตัวนี้แล้ว)

  • 45 ปอนด์ / 2 = 20.5 กิโลกรัม
  • 70 x 20.5^0.75 = 674 กิโลแคลลอรี่/วัน
  • 6 x 672 = 1075 กิโลแคลลอรี่/วัน

นอกจากชนิดของอาหาร และการกำหนดปริมาณที่คงที่ดีได้รับประโยชน์มากที่สุดแล้ว การจัดการเวลาในการออกกำลังกาย และเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสมในช่วงของแต่ละวัย ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเช่นเดียวกัน โดยอย่างเช่นลูกสุนัข ที่เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มากกว่าปกติ แต่ควรได้รับปริมาณอาหารที่น้อยกว่าน้องหมาโต เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงสูตรอาหาร ควรเลือกเปลี่ยนในเวลาที่เหมาะสม จะได้ไม่มีผลกระทบเกี่ยวกับ พลังงานในสุนัข และน้ำหนัก ที่จะคงที่และสมบูรณ์ตลอดเวลา

โดยการเปลี่ยนแปลงอาหารให้สุขนัข ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ก็ไม่ควรเปลี่ยนแบบกะทันหัน โดยแนะนำว่าให้ควรปรับไปอย่างช้า ๆ เพราะที่จะได้ประโยชน์ที่ดีที่สุด โดยที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ และพลังงานภายใน อย่างครบถ้วน