เด็กหลอดแก้ว คืออะไร

สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีบุตรยาก สามารถศึกษาข้อมูลจากการทำเด็กหลอดแก้ว อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ โดยการทำเด็กหลอดแก้วก็คือ วิธีการรักษาโรคสำหรับบุคคลที่มีบุตรยาก ด้วยวิธีการปฎิสนธิภายนอกร่างกาย โดยจะนำเอามาอยู่ภายในหลอดทดลอง จากนั้นจะนำเอาตัวอ่อนที่ได้มา ไปผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยงต่อ โดยจะให้อยู่ในช่วงอายุประมาณ 3 – 5 วัน จึงจะนำกลับเข้าสู่ร่างกายของฝ่ายหญิงที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้ว เพื่อที่จะทำให้เกิดการฝังตัว และตั้งครรภ์นั่นเอง

IVF หรือ เด็กหลอดแก้ว ตัวช่วยในปัจจุบันสำหรับคนที่มีบุตรยาก ถือเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่มีความทันสมัยมากที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก สามารถมีบุตรได้ตามที่ต้องการ แต่ก็เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดจะมีดังนี้

  • รังไข่บวม เนื่องจากได้รับฮอร์โมนกระตุ้นมากเกินไป
  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก เพราะไข่เข้าไปฝังตัวอยู่ในท่อนำไข่แทนที่จะเป็นมดลูก
  • เกิดความเครียด เนื่องจากการทำเด็กหลอดแก้วส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจหลายอย่าง
  • ได้รับผลข้างเคียงจากยา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว กระสับกระส่าย ร้อนวูบวาบและอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย
  • เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ซึ่งจะทำให้ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก
  • เสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ในขั้นตอนการเก็บไข่ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก
  • มีโอกาสตั้งครรภ์แฝด ซึ่งหากสุขภาพของคุณแม่ไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือทารกมีน้ำหนักตัวน้อยได้

เด็กที่เกิดจากวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว จะแตกต่างจากเด็กทั่วไปหรือไม่

มีงานวิจัยออกมาจากสถาบันวิจัยประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย หรือก็คือกลุ่มประเทศ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน พบว่า เด็กที่เกิดจากนวัตกรรมเด็กหลอดแก้วนั้น จะไม่มีความแตกต่างจากทารกที่เกิดขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติ โดยที่อัตราการเกิดความพิการตั้งแต่กำเนิด จะอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างมีอย่างเดียวคือเรื่องของน้ำหนัก ที่อาจจะน้อยกว่า ซึ่งสิ่งนี่แหละที่จะต้องบอกว่าอาจจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องประคบประหงมให้มากกว่าปกติ

โอกาสสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว

คำถามที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ การทำเด็กหลอดแก้วนั้น จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จจนถึงตั้งครรภ์ มีโอกาสมากน้อยเพียงใด จากข้อมูลได้บอกเอาไว้ว่าเด็กที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้วนั้น ที่อยู่ในกลุ่มสตรีที่มีอายุระหว่าง 34 ปีลงมา มีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่ที่ 30 – 40 % โดยที่จะมีอัตราการเกิดลดต่ำลงมากขึ้นกับสตรีที่มีช่วงอายูระหว่าง 35 ปีขึ้นไป เพราะคุณภาพของการฝากไข่ของฝ่ายหญิงนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามอายุที่มากขึ้น